BREAKING NEWS

condo living

Property

Category 7

From our Blog

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ condo living แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ condo living แสดงบทความทั้งหมด

sum of money : “เงินก้อน” ไม่มีให้เก็บ


อิสระภาพทางการเงิน เป็นคำยอดฮิตของคนยุคโซเชี่ยลออนไลน์ เป็นกระแสที่คนรุ่นใหม่ต้องการ เราเลยเห็นคนยุคนี้ ต่างดิ้นรนขวนขวายในการสร้างรายได้กันมากมายหลายทาง สังเกตได้ง่ายจากหน้าเฟสบุคของเรา เกือบครึ่ง เป็นเรื่องงานขายของ ขายเสื้อผ้า รองเท้า ครีมหน้าขาว อาหารเสริมลดความอ้วน ครีมอกฟู รูฟิต บลา บลา..ฯ ซึ่งต่างอวดอ้างสรรพคุณเกทับกันไป เกทับกันมา เชื่อไหมครับ ส่วนใหญ่ก็มาจากโรงงานผลิตเดียวกัน แถมบางครั้ง ไอ้ที่ราคาต่างกันของถูกกับของแพง ส่วนผสมก็ตัวเดียวกัน ต่างกันที่วัสดุห่อหุ้มผลิตภัณฑ์

อ่ะ แล้วยี่ห้อไหนมันจะดีไปกว่ากันได้ คนนั้นก็ขาย คนนี้ก็ขาย ก็มีแต่คนสั่งมาขาย ฝากร้าน กันพรึบ สุดท้ายคนที่ได้เงิน ก็คือเจ้าของโรงงานผลิต 


เฮ้อ ! แล้ว มนุษย์เงินเดือน เดินดินกินข้าวแกงอย่างเราจะทำอย่างไร
มนุษย์เงินเดือน ชื่อก็บอกแล้ว ว่า “มนุษย์” รวมกับ “เงินเดือน” หรืออีกความหมาย คือ “มนุษย์” ที่มีเงินใช้ “เดือนชนเดือน” เงินนะหรือจะมีเหลือเก็บ ยิ่งในโลกยุคนี้ด้วยแล้ว ยุคที่ค่าครองชีพถีบตัวสูงขึ้นเร็วปรี๊ด (ยุคค่าครองชีพ 4G)
ยุคที่เราซื้อน้ำใส่ขวด (ผสมน้ำตาลเติมสีเติมกลิ่น แล้วบอกว่าเพื่อสุขภาพ) แพงกว่าราคาน้ำมันรถ 
ยุคที่เราต้องกินของแพงๆ แล้วถ่ายรูปแชร์ลงโซเชี่ยล เพื่อให้เพื่อนๆ เราเห็น แล้วจะมีเงินส่วนไหนไปเหลือเก็บกันได้
ถ้าในวัยที่เรายังมีเรี่ยวแรงหักโหมทำงาน เพื่อทำให้เรามีรายได้ (เพื่อให้เจ้านายรวย) แล้วยังไม่มีเงินเหลือเก็บ ก็อย่าหวังเลยว่า ในวันที่วัยชรามาถึง จะมีแรงหลงเหลือไปทำงานเลี้ยงชีพตัวเอง เพื่อต่อสู้กับค่าครองชีพที่อนาคต เราไม่รู้ว่าน้ำดื่มขวดนึงจะทะลุไปถึงร้อยบาทหรือไม่

จากสมการการเงิน 
รายได้ – รายจ่าย + ผลตอบแทนอื่นๆ = เงินก้อน (ที่จะเหลือเก็บ)
ถ้าเราบอกว่า รายได้ – รายจ่าย = เข้าใกล้ศูนย์บาท
ดังนั้นก็ฟันธงแบบหมอเดาได้เลยว่า เงินก้อนที่จะเหลือเก็บ และ ผลตอบแทนอื่นๆ ก็เข้าใกล้ศูนย์บาทเช่นเดียวกัน
ถ้าเมื่อหนทางหารายได้ก็ไม่มี ขายของออนไลน์ จะอกฟู รูฟิต หรือครีมหน้าขาว ก็ขายไม่เป็น 
เมื่อรวมๆ แล้ว รายได้ ก็คือเงินเดือนปกติ
สิ่งที่ต้องไปดูต่อก็คือ รายจ่าย เพราะถ้าเราสามารถทำให้รายจ่ายลดลง นั่นก็หมายถึงว่าหนทางที่จะนำเงินไปลงทุนสร้างรายได้ต่อ หรือนำไปเป็นเงินเก็บ ก็จะมีมากขึ้น
รายจ่าย เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าเช่าห้องพัก ค่าของใช้ส่วนตัว ค่ากาแฟ ค่าการตลาดสร้างภาพในโซเชี่ยล และอื่นๆ อีกมากมาย ฯ 
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ อะไรที่เราปรับลดได้ก็ลองปรับกันดู อาจจะกินกาแฟติดแอร์ มีแบรนด์ ให้น้อยลง หันไปทานกาแฟรถเข็นกันบ้าง ลดการกินอาหารแพงๆ ลดค่าการตลาดสร้างภาพ(ตัวเรา) ในโซเชี่ยล ก็คงทำให้เราพอมีเงินเก็บหลงเหลือกันบ้าง
แต่ถ้าสุดท้าย ทำครบถ้วนกระบวนความ สมการการเงินของคุณ ก็ยังคงเป็น 
รายได้ – รายจ่าย = เข้าใกล้ศูนย์บาท 
หรือเหลือไม่มากที่จะนำไปลงทุนสร้างผลตอบแทนอย่างอื่นได้
ก็อย่าเพิ่งสั้นหวังกันไป ลองหันมาใช้วิธีนี้กันดู

รายจ่ายส่วนใหญ่เป็นต้นทุนทางตรง หรือต้นทุนที่ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ เราก็ต้องจ่ายมัน 
ฉะนั้นเราก็ไปทำให้รายจ่ายนั้น มาทำรายได้ให้กับเรากันดีกว่า

ถ้าวันนี้ รายจ่ายส่วนหนึ่งของคุณคือ ค่าเช่าห้องพัก ยินดีด้วยคุณได้ไปต่อ เพราะเราจะบอกว่า ค่าเช่าห้องพักนี่ละ สามารถสร้างรายได้ให้กับเรา โดยไม่ต้องไปเรียนรู้หลักการลงทุนอะไรมากมาย ไม่ต้องไปนั่งจิ้มกดจอ รอดูการขึ้นลงของกราฟ เส้นสีเขียวสีแดงใดๆ เราก็ใช้ชีวิต มนุษย์เงินเดือน ของเรา สร้างเงินที่ใช้เดือนชนเดือนเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เพิ่มเติมคือเปลี่ยนจากค่าเช่าที่พักอพาร์ทเมนต์ เป็น เงินผ่อนคอนโดกับธนาคารแทน เชื่อไหมว่า ธนาคารหลายแห่งก็ยินดีให้เรายืมเงินก้อนไปซื้อคอนโด โดยที่เราไปผ่อนใช้หนี้ธนาคารทีหลัง (แหม ธนาคารนี่ ใจดีกับเราจริงๆ )

คอนโด เป็นอาคารพักอาศัย ที่มีรูปแบบคล้ายอพาร์ทเมนต์ แตกต่างตรงที่อพาร์ทเมนต์ มีเจ้าของคนเดียว แต่คอนโดมีเจ้าของหลายคน อีกทั้งคอนโดเป็นอสังหาริมทรัพย์อย่างนึง ที่มีความสามารถพิเศษกว่าทรัพย์ประเภทอื่นๆ คือ มูลค่าหรือราคาของมันจะปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป (มากน้อยตามทำเลที่ตั้ง) ทั้งนี้หากในสภาวะปกติ จากสถิติของอสังหาริมทรัพย์ในบ้านเรา จะปรับตัวสูงขึ้น 3% – 10% (แล้วแต่ทำเล) 

นั่นคือ ถ้าปีนี้เราซื้อคอนโดในราคา 1 ล้านบาท เมื่อเวลาผ่านไปสัก 5 ปี คอนโดหลังเดียวกันนี้ก็จะมีมูลค่าประมาณ 1.2 – 1.5 ล้าน 

โดยปัจจุบัน คอนโดราคา 1 ล้านบาท เราจะผ่อนธนาคารที่ประมาณ 6,500 - 7,000 บาทต่อเดือน โดยในเงินจำนวนนี้ส่วนนึงเป็นค่าดอกเบี้ย ที่ธนาคารคิดเป็นค่าดำเนินการในการออกเงินก้อนให้เรากู้ยืมซื้อคอนโด และอีกส่วนเป็นเงินต้นที่นำไปลดยอดเงินกู้ยืมซื้อคอนโด เมื่อเวลาผ่านไปเงินกู้ยืมนี้ก็จะลดลงตามเงินที่เราจ่ายให้ธนาคาร ซึ่งในขณะเดียวกัน มูลค่าคอนโดก็จะปรับราคาเพิ่มขึ้น นั่นหมายถึงว่า ถ้าเรานำคอนโดนั้นไปขายต่อ ก็จะได้ราคามากกว่าที่เราซื้อมาตอนแรก 

ตัวอย่างเช่น

ถ้าเรากู้ยืมเงินจากธนาคารเพื่อซื้อคอนโดแห่งหนึ่งมาในราคา 1 ล้านบาท เมื่อ 5 ปีที่แล้ว และปัจจุบันกำลังจะขายต่อ ด้วยราคาซื้อ-ขายคอนโดปัจจุบัน อยู่ที่ประมาณ 1.5 ล้านบาท โดยเหลือหนี้คงค้างจากการขอกู้ยืมเงินจากธนาคารประมาณ 8 แสนบาท

ดังนั้นราคาขายปัจจุบันเท่ากับ 1,500,000.- บาท ลบด้วยเงินกู้ยืมธนาคาร 800,000.- บาท จะมีส่วนต่างราคาอยู่ที่ประมาณ 700,000.- บาท และด้วยเงินของส่วนต่างราคานี้ จะเป็นผลตอบแทนที่เราจะได้รับจากการที่เปลี่ยนจากเงินค่าเช่าห้องพักอพาร์ทเมนต์ มาเป็นเงินผ่อนธนาคารในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา 


ทั้งนี้เราก็ยังนำค่าดอกเบี้ยที่จ่ายให้ธนาคาร นำไปเป็นส่วนลดเงินได้(ที่ไม่ค่อยจะมี) ในการยื่นภาษีประจำปีอีกด้วย

มนุษย์เงินเดือนทั่วไป มีเงินใช้แค่เดือนชนเดือนเหมือนคนอื่นๆ ก็สามารถสร้างรายได้ และมีเงินเก็บเป็นก้อน(เล็กๆ) หรือนำไปลงทุนต่อเพื่อสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติม โดยที่ไม่ได้ไปเรียนรู้หลักการลงทุนอะไร ใช้ชีวิตทำงานกินเงินเดือนเหมือนเดิม แต่วันนี้มี income เพิ่มเพราะทำหนี้ไว้เมื่อวาน

ลงทุนคอนโด ได้เงินก้อนโต (จริง! หรือ)

ในโลกทุนนิยม เงินอาจจะซื้อทุกอย่างไม่ได้ แต่เกือบทุกอย่างที่เราต้องใช้ มันต้องใช้เงิน 
จึงทำให้เราต้องดิ้นรน ขวนขวายเพื่อให้ได้มา
เมื่อเงินหามายาก หากได้มาแล้วก็ต้องเก็บสะสมและนำไปเพิ่มมูลค่า 
เพราะเงินก็มีค่าเสื่อมเหมือนกัน

เงิน 100 บาท เมื่อ 5 ปีก่อน กับ 100 บาทวันนี้ และ 100 บาทในอีก 5 ปีข้างหน้า มูลค่าของมันก็ไม่เท่ากัน

ถ้าคิดจะนำเงินเก็บไปฝากไว้กับธนาคาร เพื่อหวังกินดอกเบี้ย ชั่วโมงนี้ บอกเลยว่าคุณคิดผิด
ในยุคที่บ้านเรา เงินฝากออมทรัพย์ได้รับ(ส่วนแบ่ง) ดอกเบี้ยไม่ถึงร้อยละ 1 บาท
เมื่อการฝากเงินไว้กับธนาคาร ไม่ใช่สิ่งที่ทำแล้วได้ผลตอบแทนที่ดี ก็ควรต้องนำเงินไปทำให้มันงอกเงยด้วยอื่นๆ

ในช่วง 5-6 ปีมานี้ การลงทุนในคอนโดเป็นวิธีการหนึ่งที่ได้รับความสนใจในบ้านเรา
ทั้งนักลงทุนตัวจริง และ มือสมัครเล่น ต่างรุมเข้ามาในวงการนี้
จะเห็นได้จากทั้งงานสัมมนา ทั้งจากสื่อต่างๆ ที่บรรดาผู้สำเร็จออกมาให้ข่าวและข้อมูลกันมากมาย
ทั้งในช่วงเวลาหนึ่ง การขายใบจองคอนโด การซื้อไว้ปล่อยเช่า และซื้อมาทำกำไรขายต่อ ได้สร้างผลตอบแทนแก่ผู้ลงทุนอย่างดี

แต่เชื่อไหมครับว่า ที่ขาดทุนและเจ๊งไม่เป็นท่า ก็มีมากมายอีกเช่นเดียวกัน

ปัจจุบันมีโครงการคอนโดเกิดขึ้นหลายโครงการ ทุกถนนหนทาง มีคอนโดเกิดขึ้นกระจายเต็มพื้นที่ ดังนั้น ก่อนคิดจะลงทุน ควรศึกษาข้อมูลการลงทุนคอนโดให้เข้าใจ

โดยทั่วไปคอนโดก็มีให้เลือกซื้อตั้งแต่ราคาขาย ไม่กี่หมื่นบาทต่อตารางเมตร จนถึง หลายแสนบาทต่อตารางเมตร (สูงสุดตอนนี้คือ 6 แสนบาทต่อตารางมตร)

  ขอคำปรึกษา...คอนโดใกล้โอน...ขายดาวน์ไม่ออกไม่พร้อมรับโอน
 “ถ้าคอนโดปล่อยเช่าได้น้อยกว่าค่าผ่อน จะเก็บไว้หรือขายดีครับ

หนึ่งในหัวข้อกระทู้ จากสมาชิกเว็บไซด์พันทิป” (Pantip) โซเชียล มีเดีย สายพันธุ์ไทย

ตัวอย่างข้างต้นที่เกิดจากความใม่พร้อม ทั้งการซื้อคอนโดเพื่อทำกำไรจากการขายดาวน์ต่อ แต่ขายไม่ออก 
เมื่อถึงเวลาใกล้โอน ก็ไม่พร้อมรับโอน จึงทำให้ต้องยอมขาดทุนจากการลงทุนเพื่อขายดาวน์คอนโดทิ้ง กับอีกกรณีที่ซื้อคอนโดมาปล่อยเช่า แต่เมื่อปล่อยเช่าแล้วได้รับค่าเช่าน้อยกว่าหนี้ที่ต้องชำระธนาคารเป็นรายเดือน ทำให้ต้องนำเงินโป๊ะเพิ่มเข้าไป เมื่อไม่มีเงินทุนสำรองมากพอที่จะโป๊ะต่อไป สุดท้ายก็ต้องยอมตัดเนื้อร้ายทิ้งออกไป

เมื่อมีเสีย ก็ต้องมีได้ ในอีกมุมบ้านเรา มีโค๊ชด้านการลงทุนคอนโดเกิดขึ้นมากมายที่ประสบความสำเร็จจากการลงทุนด้วยคอนโด สังเกตุได้จากงานสัมนาและหนังสือชวนลงด้วยคอนโด ก็มีปรากฏให้เราเห็นหลายสิบเล่ม  สิ่งนี้เลยยิ่งเกิดเป็นกระแสการลงทุนในคอนโดอย่างเป็นวงกว้าง  

แล้วทำไม ! ถึงบอกต้องศึกษาคอนโดให้ดี

เพราะทุกอย่าง มีเหตุและผล ในช่วงเวลาหนึ่งที่ผู้คนยังนิยมเข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองหลวงเป็นหลัก ต้องการความสะดวกสบายในการเดินทาง ต้องการมีที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัย และสะดวกต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
คอนโดจึงเป็นคำตอบของคนยุคนี้

เมื่อความต้องการมีมาก แต่วัตถุดิบมีน้อย ทำให้ในช่วงก่อนๆ คอนโดในเมืองใหญ่เป็นสิ่งที่ต้องการอย่างมาก แต่ตอนนี้ปัจจัยได้เปลี่ยนไป

ส่วนประกอบ คอนโด คือที่ดินและอาคาร
เริ่มด้วยผู้พัฒนาโครงการซื้อที่ดินมาทำโครงการ ซึ่งจากต้นทุนราคาที่ดิน คนขายที่ดินก็บวกกำไรไปเรียบร้อย แถมช่วงหลังๆ ราคาขายที่ดินที่มีศักยภาพ ราคาขายค่อนแรงมาก ที่ดินสุขุมวิทที่ว่าตอนนี้ซื้อขายกันวาละเกือบ 1-2 ล้าน ในช่วง 10 ปีก่อนยังเสนอขายกันตารางวาละไม่กี่แสนบาทอยู่เลย

เมื่อซื้อที่ดินแล้วมาลงทุนพัฒนาโครงการ จากต้นทุนทั้งหมด ผู้พัฒนาคอนโด ก็บวกกำไรอีก 20 % - 30% ก่อนออกมาเป็นราคาคอนโดสู่ตลาด กว่าสินค้าจะมาถึงเมื่อเรา ถูกทำกำไรไปพอควรแล้ว ยิ่งถ้าไปซื้อคอนโดจากนักเก็งกำไรระยะสั้นเพื่อเอามาลงทุนทำกำไรจากการปล่อยเช่าคอนโด จะเหลือกำไรให้คุณอีกสักเท่าไหร่

ถึงแม้ว่า เราสามารถซื้อคอนโดมาปล่อยเช่า และทำไรได้จากการถือไว้แล้วปล่อยขายในภายหลัง

แต่ ! มันก็ต้องใช้เวลาพอสมควร กว่าจะถึงจุดคุ้มทุน 
ในตลาดการลงทุนคอนโดเพื่อปล่อยเช่า อัตราผลตอบแทนที่ยอมรับได้ อยู่ที่ประมาณ 5 % - 7% (ยิ่งมากยิ่งดี)

นั้นคือ หากคอนโดราคา 100 บาท รายได้สุทธิจากการปล่อยเช่าก็ควรได้ 5 -7 บาทต่อปี

ถ้า คอนโด ราคาขาย 1 ล้านบาท คอนโดห้องก็ควรมีรายได้จากการปล่อยเช่าที่ 70,000 บาท ต่อปี หรือประมาณ เดือนละ 5,800 บาท

แต่ในในโลกของความเป็นจริง ต้นทุนของคอนโดที่เราซื้อ มีดอกเบี้ยธนาคาร ที่เรียกว่าสูงพอๆ กับอัตราผลตอบแทนที่เราอยากได้ อีกทั้ง คอนโดยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่คนซื้อต้องเสีย เช่นค่าส่วนกลาง ค่าที่จอดรถ ค่าประกันภัยอาคาร

แถมอีกข้อ ว่าโดยปกติแล้วใน 1 ปี เราไม่สามารถทำให้คอนโดมีคนเช่าได้ทั้งปี ถ้าเดือนไหนผู้เช่าย้ายออก กว่าเราจะมีผู้เช่าคนใหม่มาเช่า ก็อย่างน้อย 1 เดือน ที่คอนโดไม่มีรายได้จากการเช่า เดือนไหนไม่มีคนมาช่วยจ่ายค่าเช่า เราก็ต้องรับภาระจ่ายหนี้ธนาคารเต็มๆ

คุณอาจจะบอกว่างั้นก็ขึ้นค่าเช่าสิ อย่าลืมว่าธุรกิจการให้เช่าห้องคอนโด มีคู่แข่งมากมาย ทั้งภายในคอนโดของเอง ทั้งอพาร์ทเมนต์ ที่อยู่ใกล้ๆ การปล่อยเช่าคอนโด จึงไม่อาจกำหนดราคาได้ตามใจ

แต่ บ่อยครั้งที่เราเห็น ราคาค่าเช่าคอนโดที่มีราคาต่ำกว่าห้องอื่นๆ ด้วยอาจจะมาจากเจ้าของห้องที่มีเงินเก็บเป็นกอบเป็นกำ ไม่รู้จะนำไปลงทุนอะไรก็เลยมาซื้อคอนโด ปล่อยเช่า แบบไม่ได้มุ่งหวังผลตอบแทนที่สูง สามารถปล่อยเช่าแบบต่ำกว่าห้องอื่น แบบนี้ถึงจะได้อัตราผลตอบแทนไม่มาก แต่ก็คุ้มกว่าการนำเงินไปฝากธนาคาร เมื่อตั้งราคาตามที่คาดหวัง มันปล่อยเช่าไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องดั้มราคาเช่าคอนโดลงมา ถ้ามีเงินสำรอง ก็คงไม่เดือดร้อนอะไร เพราะจาก 5 % - 7 % ต่อปี ชั่วโมงนี้ ได้ 3 % - 4 % ก็ดีกว่าฝากเงินไว้ในธนาคาร แล้วค่อยไปเอาผลตอบแทนจากการขายแทนทีหลัง

นักลงทุนหน้าใหม่ เข้ามาร่วมธุรกิจนี้หลายคนก็เจ็บตัวกัน เพราะเมื่อปล่อยเช่าคอนโดไม่ได้ตามที่คาดไว้ แถมยังกู้เงินธนาคารมาซื้อ เมื่อเงินผ่อนธนาคารรายเดือนสูงกว่าค่าเช่าที่ได้รับ คุณก็มีหน้าที่ๆต้องรับผิดชอบส่วนต่างนั้นไป 

แรกๆ อาจจะมีเงินจ่าย แต่ถ้าบ่อยๆ สายป่านคุณไม่ยาว สุดท้ายก็ต้องยอมขายคอนโดนั้นออกโดยเร็ว จากที่คาดหวังผลตอบแทนการปล่อยเช่า เมื่อรีบขาย ก็จำเป็นที่ต้องขายให้ต่ำกว่าคนอื่น ขาดทุนกันอีกรอบ

ทั้งนี้ทั้งนั้น การปล่อยเช่า คอนโดที่สามารถทำกำไรจากการปล่อยเช่าคอนโด ก็ยังมีเพียงแต่เราต้องศึกษาให้ดีเสียก่อน

- คอนโดมือสองในซอยแถวสุทธิสาร ที่มีราคาขาย  7 – 8 แสนบาท แต่ปล่อยเช่าได้เดือนละ 5 -6 พันบาท
- คอนโดมือสองแถวลาดพร้าว  ที่มีราคาขาย 1.3-1.4 ล้าน แต่ปล่อยเช่าได้เดือนละ 5 -6 พันบาท ก็มีให้เห็น

ต้นทุนต่างกันแต่ปล่อยเช่าได้เท่ากัน คนได้ของถูกกว่า ก็จะทำกำไรได้มากกว่า

ดังนั้นการลงทุนด้วยคอนโด แล้วทำเงินก้อนโต นั้นมีอยู่จริง และทำได้ แต่ ในทางกลับกัน ลงทุนด้วยคอนโด แล้วมีหนี้ก้อนโต ก็มีเหมือนกัน เพียงแต่เขาเหล่านั้นไม่ได้ออกมาทำหนังสือ ไม่ได้ออกจัดงานสัมนาให้เราเห็น

อย่าลืมศึกษาคอนโดให้ดี ทำความเข้าใจในรายละเอียด ก่อนจะเป็นนักลงทุน 
จะ มีเงินก้อนโต หรือ หนี้ก้อนโต คุณเลือกได้

The Line Asoke-Ratchada




The Line Asoke-Ratchada
-------------------------------------
Project Site : 2-2-0 ไร่ ( 1,100 ตารางวา)
ความสูงของอาคาร : 38 ชั้น
Total units : 473 
Price (บาท /ตร.ม.)
 - เริ่ม 3.99 ประมาณ 150,000 บาท ต่อตร.ม.
ค่าส่วนกลาง (บาท /ตร.ม.)


Project Site : sansiri.com - http://goo.gl/9PZC2S
รีวิวโครงการ:
- thinkofliving.com : http://goo.gl/WZBcxE
- yusabuy.com : http://goo.gl/CIMYv1
- homenayoo.com : http://goo.gl/3tcCwt
- condotiddoi.com : http://goo.gl/yiUY5g

Google Map ; The Line Asoke-Ratchada





กับดัก "รวยด้วยคอนโด"

- กับดัก  "รวยด้วยคอนโด" -








ปัจจุบันการลงทุนด้วยคอนโด เป็นทางเลือกหนึ่งที่มีกระแสที่ผู้คนให้ความสนใจ และกรูรูหลายๆท่าน  ก็มีงานสัมมนาและหนังสือแนว "รวยด้วยคอนโด" ออกมาหลายสิบเล่ม  แต่ถึงแม้ว่า การซื้อหรือเลือกลงทุนด้วยคอนโด  จะมีโอกาสให้ผลตอบแทนได้ดี  แต่มันก็มีโอกาสที่จะทำให้ขาดทุนด้วยเช่นเดียวกัน เพราะตลาดที่เน้นการลงทุนด้วยคอนโด ที่หวังให้ผลตอบแทน  ก็มีโอกาสทำให้ผู้ลงทุน "ติดดอย" หรือ "ขาดทุน" ได้เช่นเดียวกันกับการลงทุนประเภทอื่น ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง  ทั้ง supply คอนโด ในตลาดปัจจุบัน มีจำนวนมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก  และหากมองไปที่ราคาขายคอนโดจากผู้พัฒนาโครงการ เรทราคาปัจจุบันก็ค่อนข้างอยู่ในเกณฑ์สูงแล้ว ดังนั้นหากสนใจซื้อคอนโด ที่หวังซื้อแล้วขายใบจอง หรือซื้อมาหากำไรจากการปล่อยเช่า ก็ควรศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน รวมทั้งสำรวจข้อมูลการเงินของตัวเองให้ดี หากศึกษาข้อมูล ข้อดีข้อเสีย รวมทั้งมีความพร้อมทางด้านการเงิน คอนโดก็มีโอกาสทำเงินให้กับผู้ลงทุนได้เช่นเดียวกัน


โดยก่อนทำการเลือกซื้อควรอ่านสัญญาให้รอบคอบ และควรดูเรทราคาของห้องชุดที่ขายในบริเวณเดียวกันเปรียบเทียบด้วย เพราะคอนโดปัจจุบัน มีเรทราคาขายที่สูงกว่าแต่ก่อนพอสมควร เรียกว่า มีราคาขายโดยเฉลี่ยเกือบแสนบาท หรือไม่ก็แสนกว่าบาทต่อตารางเมตรขึ้นไป โดยส่วนใหญ่ผู้ประกอบการจะอ้างถึงต้นทุนค่าก่อสร้างที่ว่ามีราคาสูงขึ้น(ตัวเลขราคาประเมินค่าก่อสร้างอาคารที่กำหนดโดยสมาคมผู้ประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย ตัวเลขปี พ.ศ.2558 อาคารพักอาศัย 26 - 35 ชั้น อยู่ที่ประมาณ 19,300 - 31,400 บาท/ตารางเมตร และ ตัวเลขปี พ.ศ. 2556 อยู่ที่ 18,830 - 30,650) รวมถึงต้นทุนที่ดินที่ซื้อมามีราคาสูงกว่าแต่ก่อนมาก (ราคาซื้อ-ขายที่ดิน ติดถนนสุขุมวิทล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 1,700,000.- บาท/ตารางวา) 

สุดท้ายเมื่อรวมต้นทุนค่าบริหาร ต้นทุนค่าโฆษณา อื่นๆ และสุดท้ายบวกด้วยกำไรที่ผู้ประกอบการคาดหวัง ก็เป็นสินค้า(ห้องชุดคอนโด) ออกวางขายสู่ท้องตลาด โดยมีเหล่านักลงทุนมือใหม่และมือเก่าเข้าไปลุมจองซื้อกันมากมาย เพื่อหวังกำไรอีกทอดนึงจากราคาขายก็จะเป็นสิ่งที่ควรระวังมากขึ้น เพราะหากรีบจองโดยไม่ศึกษาข้อมูลให้ดี และไม่มีความพร้อมแล้ว เมื่อรับสินค้ามาแพงและมาขายแพงขึ้น สุดท้ายเราจะติดกับดัก บางทีที่หวัง "รวยด้วยคอนโด" จะกลายเป็น "จนด้วยคอนโด" ก็เป็นไปได้เสมอ และ



       
แสดงความคิดเห็น

ระวังใช้คอนโด(ห้องชุด)ผิดประเภท

- ระวังใช้คอนโด(ห้องชุด)ผิดประเภท -



การกินยาผิดขนาดหรือไม่ถูกกับโรค ก็มักจะมีผลเสียส่งมาถึงตัวเราได้ เช่นเดียวกัน หากเราใช้คอนโดผิดประเภท ก็อาจจะะมีผลเสียและมีโทษส่งผลถึงเราได้เช่นเดียวกัน 
คอนโด หรือ อาคารชุด โดยทั่วไปในปัจจุบัน ที่พบเห็นมี 3 ประเภทหลักๆ คือ


          1.ห้องชุดสำนักงาน
          2.ห้องชุดพาณิชยรรม
          3.ห้องชุดพักอาศัย


โดยเนื้อหาของบทความนี้ ขอกล่าวถึง "ห้องชุดพักอาศัย" โดยทั่วไปที่อาจพบเห็นคือการนำห้องชุดนำไปใช้ในเชิงพาณิชยกรรม ที่ไม่ใช่พักอาศัย เพราะโดยปกติแล้ว อาคารชุด ถือเป็นอาคารประเภทควบคุมการใช้ ตามพระราชบัญญัติควบคุม อาคาร พ.ศ.๒๕๒๒ และโดยปกติในระเบียบอาคารชุดของคอนโดแต่ละที่ ก็มักจะมีข้อห้ามนี้ไว้ในระเบียบอาคารชุดด้วยเช่นเดียวกัน

สรุปคือ ผิดทั้งกฎหมายควบคุมอาคาร และกฎหมายอาคารชุด ซึ่งหากท่านใดประสงค์จะนำห้องชุดไปใช้ในเชิงพาณิชยกรรม ก็ควรเลือกซื้อ ห้องชุด(คอนโด) ให้ถูกต้องตามประเภทการใช้งานของห้องชุด ทั้งนี้ก่อนการซื้อควรตรวจสอบให้แน่ชัดกับทางผู้ขาย หรือหากเป็นห้องชุด(คอนโด) มือสองก็สามารถตรวจสอบกับนิติบุคคลอาคารชุดใหมั่นใจเสียก่อนนะครับ





แสดงความคิดเห็น

-รวมสูตรคาวหวาน.. สารพัดอาหารจาก "ไมโครเวฟ"

-รวมสูตรคาวหวาน.. สารพัดอาหารจาก "ไมโครเวฟ"


ห่างหายจากการ Update ไปสักระยะ วันนี้ไปเจอ -รวมสูตรคาวหวาน.. สารพัดอาหารจาก "ไมโครเวฟ" 
จากเว็บ PANTIP ที่คุณ WonderCosmos เจ้าของกระทู้รวบรวบไว้ จึงขออนุญาตเอามาแบ่งปันอีกทางนะครับ เพราะเชื่อว่า "คนคอนโด" กับเรื่องอาหารนี่เป็นของคู่กัน หลายคนใช้วิธี ซื้อจากข้างนอกเข้าไปรับปประทาน บางคนก็สั่งร้านประจำให้ไปส่งถึงที่คอนโด ซึ่งหากดูวิธีการทำของเมนูอาหารแต่ละเมนู  ก็ไม่ยากจนเกินไป ที่เราชาว คนคอนโด จะลองฝึกหัดทำตามดูกันนะครับ



1.ข้าวผัดเทพๆ จากไมโครเวฟ :: By ไหมพรมสีชมพู

2.รวมอาหารไมโครเวฟ สำหรับคนไม่มีครัว :: By ไหมพรมสีชมพู

3.ไข่ลวก ด้วยไมโครเวฟ :: By birdeyeview

4.ปลาหิมะนึ่งซีอิ้ว :: By ลักกี้


5.ต้มยำซี่โครงหมู  :: By ลักกี้

6.ปลาเก๋าราดพริก  :: By ลักกี้

7.ฉู่ฉี่ปลาช่อน  :: By ลักกี้

8.กุ้งอบวุ้นเส้น  :: By Yaku-Yaku

9.ไข่ดาวน้ำ  :: By swin



10.ข้าวอบเขียวหวานไก่ :: By Orayanee

เบื้องต้น เราจัดมายกตัวอย่าง 10 เมนู หากใครสนใจเมนูอื่นๆ  สามารถแวะเข้าหากันได้ที่ PANTIP ได้เลยครับ



ข้อควรคิดเมื่อ เลือกซื้อคอนโด ตอนที่ 3

- ข้อควรคิดเมื่อ เลือกซื้อคอนโด ตอนที่ 3 -

ในครั้งก่อนเราพูดถึง ปัจจัยภายนอก หลายๆ ด้าน แต่โดยรวมก็จะเป็นเรื่องของ ทำเลและสภาพแวดล้อมในบริเวณของคอนโด ที่เราจะซื้อ คราวนี้ก็ถึงคราวเปรียบเทียบของตัวโครงการและส่วนประกอบของโครงการคอนโดครับ


หลายคนอาจจะมองที่บริษัทผู้พัฒนาโครงการคอนโดขายเป็นหลัก อาจจะด้วยเพราะอาจจะเคยได้ยินข่าว หรือได้รับข้อมูลมาว่าคอนโดของเจ้านั้น เจ้านี้ดี แต่ก็มีบางคนอาจจะมองที่ รูปลักษณ์กายภาพของคอนโด, ทำเล หรือราคาของคอนโดยั่วใจ จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่นะครับ ไม่อยากให้ความสำคัญกับข้อใดข้อหนึ่ง เพราะทุกอย่างก็ต้องนำมาพิจารณารวมกันทั้งหมด ไม่แนะนำให้ดูเฉพาะอย่างใดอย่างนึงครับ



-            ผู้พัฒนาโครงการ อาจจะมีหลายท่าน ที่พอได้ทราบข่าวว่า ผู้พัฒนาโครงการคอนโดขาย บริษัทที่อยู่ในใจมีการเปิดตัวโครงการในทำเลที่สนใจ  ก็มักจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ รีบเข้าไปจับจองหรือลงทะเบียนรับใบจอง ซึ่งในเคสแบบนี้ ส่วนมากก็จะเป็นนักลงทุนเป็นหรือลูกค้าเก่าบางส่วน ซึ่งหลายๆ บริษัทก็จะมีข้อมูลลูกค้าเก่า ที่พอเวลาใกล้จะเปิดตัวโครงการใหม่ๆ ก็มักจะส่งข้อมูลให้นักลงทุนได้ทราบก่อนใคร (เพื่อให้นักลงทุนรีบหาเงินมาจองกันเร็วๆ นะ จะได้ขายหมดไวๆ )

      หากเป็นเมื่อก่อน โครงการอาคารชุดก็อาจจะเปิดขายทีเดียวหมดทั้งตึก แต่เนื่องจากบางบริษัทเห็นผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับหลังจากขายช่วงที่อาคารแล้วเสร็จ ที่บางครั้งอัตราผลตอบแทนสูงถึง 40 % - 50% (บางโครงการ) ทำให้ปัจจุบัน โครงการจะเปิดขายเป็นบางส่วน ไม่ได้เปิดขายทั้งหมด (แต่ออกข่าวว่าขายหมดแล้ว) เพื่อเก็บห้องชุดที่ทำเลๆ ดีไว้ขายช่วงที่อาคารแล้วเสร็จ (เพราะได้ราคาขายดีกว่า ตอนช่วงเปิดจอง ก่อนก่อสร้าง)

       ซึ่งหากเป็นท่านที่ซี้อเพื่อการอยู่อาศัย ก็อาจจะต้องใช้เวลาในการไตร่ตรอง ศึกษาข้อมูล ซึ่งในบางครั้งอาจทำให้ ตัดสินใจช้ากว่านักลงทุน และจองไม่ทันนักลงทุน หรือ หากจองทันก็มักจะเหลือ ห้องชุดในตำแหน่งที่ไม่ค่อยดี (ห้องดีๆ ผู้ขาย อาจจะยังไม่ได้ปล่อยขายก็ได้นะครับ)



       แต่ ครับแต่ ก็ไม่เสมอไปทั้งหมดครับ อีกทั้ง ปัจจุบันมีโครงการคอนโด เกิดขึ้นมากมาย ซัพพลายมีให้เราเลือกหลายโครงการ ตลาดคอนโดปัจจุบัน เป็นของผู้ซื้อ ผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัย เรา ค่อยๆ ศึกษาข้อมูลไปดีกว่าครับ (ศึกษาตอนนี้ เมื่อถึงเวลาเจอโครงการถูกใจ เราจะได้มีข้อมูลพร้อมครับ)

      เพราะบ่อยครั้ง ที่เมื่ออาคารแล้วเสร็จ ใกล้ถึงช่วง โอนกรรมสิทธิ์ หลายๆ โครงการมักจะมี ห้องชุดมาประกาศขาย และบางห้อง ก็มีราคาเท่ากับช่วงเปิดตัว หรือถ้าเจอ ผู้ซื้อที่ไม่มีความพร้อมและโดนผู้พัฒนาโครงการ เร่งให้โอน  ผู้ซื้อเหล่านั้น ก็ต้องเร่งขาย จนอาจต้องยอมขายขาดทุน เรื่องแบบนี้มีเกิดขึ้นกับหลายโครงการ ซึ่งหากเรามีความต้องการ คอนโด นั้นๆ จริงๆ ค่อยเลือกซื้อตอนนั้นก็ยังทันครับ (แถมได้เห็นอาคารของจริง ว่าเมื่อแล้วเสร็จ สภาพจะเป็นอย่างไร ไม่ได้ดูแต่ภาพจำลอง)


หัวข้อนี้มีรายละเอียดค่อนข้างเยอะ โปรดติดตามในตอนต่อไปนะครับ : Life Sabuy
แสดงความคิดเห็น

ตลาดคอนโดต่างจังหวัด

- ตลาดคอนโดต่างจังหวัด - 

ช่วง 1-2 ปีมานี้ ตลาดคอนโด โตขึ้นมาก และไม่ได้กระจุกตัวอยู่แต่ในกรุงเทพมหานคร เท่านั้น ตามหัวเมืองใหญ่ๆ รวมทั้งเมืองท่องเที่ยว ก็มีคอนโดไปปรากฏให้ได้เห็นกัน มีทั้งจาก developerจากส่วนกลางและ developer ท้องถิ่น อีกทั้งราคาขายก็ไม่ได้เป็นรองกรุงเทพ สักเท่าไหร่ จึงทำให้หลายๆ developer ต่างสนใจที่จะเข้าไปพัฒนากัน


สำหรับคนสนใจที่จะซื้อ คอนโดต่างจังหวัด เป็นบ้านที่ 2 หรือ 3 อาจจะต้องคิดกันมากกว่าการซื้อคอนโดในกรุงทพฯ. เพราะโดยความเห็นส่วน ตลาดคอนโดต่างจังหวัด อาจจะแตกต่าง จากตลาดคอนโดกรุงเทพ ดังนั้น นอกจากทำเล ส่วนควบต่างๆ และชื่อเสียงของผู้พัฒนาแล้ว คงตองมองรอบๆ ตอนไปจองและซื้อ ว่าเป็นการซื้อเพื่อลงทุน หรือซื้อเพื่ออยู่อาศัยมากกว่ากัน และถ้าเป็นไปได้ก็แนะนำว่าควรจะซื้อคอนโดที่คนซื้อเพื่อการอยู่อาศัยจะดีกว่าครับ 

* ตัวอย่างคอนโด จากโครงการ เซนทริโอ ภูเก็ต

* ตัวอย่างคอนโด จากโครงการ  “ดีคอนโด แคมปัส รีสอร์ท กู้กู” ภูเก็ต

หากคอนโดที่มีคนซื้อเน้นการลงทุน ต่อไปอาจจะเสี่ยงต่อการเงินและและการดูแลระยะยาว เพราะอาจจะมีปัญหาเรื่อง การโอนกรรมสิืทธิ์ เพราะอาจจมีคนไม่ยอมไปโอนกัน เพราะคนซื้อแรกๆ กะซื้อเพื่อเกร็งกำไรขายใบจอง หากโชคดีหน่อยมีคนโอน แต่ไม่ได้ไปอยู่ ต่อไปก็อาจจะมีปัญหาเรื่องการเก็บค่าส่วนกลาง และอาจจะกระทบต่อการเงินและสภาพคล่องของคอนโด ได้ครับ และก็มีผลทำให้สภาพโดยรวมของอาคารอาจจะดูเสื่อมโทรมเร็วกว่าเวลาอันควร และจะส่งผลทำให้มูลค่าคอนโดไม่ค่อยเพิ่ม หรือลดถอยลง

ดังนั้นการซื้อคอนโด ต่างจังหวัด อาจจะต้องเลือกกันดีๆ มากกว่าในเมืองหลวงสักหน่อย ด้วยราคาขายก็ค่อนข้างสูง เทียบราคาต่อตารางเมตร ก็ไม่ได้เป็นรองกว่าราคาขายคอนโดในกรุงเทพ แต่หากซื้อในทำเลที่สามารถปล่อยเช่าได้ง่าย เช่นใกล้แหล่งท่องเที่ยว หรือสถาบันการศึกษา เช่น แถวๆ สมุย ก็จะมี คอนโด ที่ปล่อยให้เช่ารายวันด้วย ค่าเช่า ก็เรทๆเดียวกับโรงแรม 3 ดาว อย่างนี้ก็ถือเป็นการสร้างรายได้ดีกว่าปล่อยทิ้งไว้ สำหรับคนต่างถิ่น หากจะซื้อคอนโดต่างจังหวัด ก็อย่าลืมศึกษาข้อมูลรายละเอียดกันเยอะๆนะครับ
แสดงความคิดเห็น

ข้อควรคิดเมื่อ เลือกซื้อคอนโด ตอนที่ 2

- ควรคิดเมื่อ เลือกซื้อคอนโด ตอนที่ 2 -


จากเนื้อหาในครั้งที่แล้ว เราพูดถึงเรื่อง ปัญหาที่จอดรถยนต์ของคอนโด ไม่เพียงพอ ตอนนี้ขอก็วกกลับมาที่ ข้อควรคิดเมื่อจะเลือกซื้อคอนโด ในตอนที่ 2 กันนะครับ

ทั้งนี้ประเด็นที่พูดถึงไปเป็นอันดับแรกคือ ทำเลที่ตั้งของคอนโด

ปัจจุบัน ถ้าเป็นคอนโดในแนวรถไฟฟ้าแบบอยู่บนถนนเส้นเดียวกันเลย หรือห่างสถานีไม่เกิน 2-300 เมตร ราคาขายก็จะเริ่มกันที่ แสนบาทต่อตารางเมตรขึ้นไป ยิ่งถ้าเป็น สถานีหลักๆ  มีแหล่งธุรกิจการค้า แหล่งชาวต่างชาติ เช่นสุขุมวิทช่วงต้น (รถไฟฟ้า BTS) ก็เริ่มกันที่สองแสนบาทขึ้น โดยจะเห็นว่าช่วงหลังๆ คอนโดบ้านเรามีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ ถ้ามีกำลังซื้อก็ควรเลือกเกาะติดแนวรถไฟฟ้าเป็นดีที่สุดครับ

      ประเด็นต่อมาก็คือเรื่องการความสะดวกในการใช้รถยนต์สัญจร เพราะว่าถ้ากำลังซื้อของเราไม่ถึง ในการซื้อคอนโดติดรถไฟฟ้า ก็ควรเลือกทำเลที่ รถยนต์เข้าออกสะดวก คำว่า  "สะดวก" ผมหมายถึงสะดวกในการใช้รถยนต์จริงๆเลยนะครับ ไม่ใช่ว่าติดถนนใหญ่แล้วจะสะดวกเสมอไป ตรงนี้ต้องดูดีๆ เพราะบางโครงการตั้งอยู่ติดถนนหลักก็จริง แต่บางครั้งเป็นถนนที่มีการเดินรถทางเดียว หรือจุดกลับรถอยู่ไกลคอนโดมากๆ ก็จะทำให้การใช้รถยนต์ไม่สะดวก แม้บางคนตอนที่ซื้ออาจไม่ได้ใช้รถยนต์ แต่ก็ไม่แน่ อนาคตเราอาจจะจำเป็นต้องใช้รถยนต์ก็เป็นได้ครับ ดังนั้นก็เลือกโครงการที่สามารถใช้รถยนต์ในการเข้าออกสะดวกไว้จะดีกว่าครับ

    อีกกรณีนึง หากในอนาคตเราต้องขายคอนโด หากมีผู้ซื้อสนใจจะซื้อห้องต่อจากเรา เขาอาจจะจำเป็นต้องใช้รถยนต์ในการเดินทาง ถ้าเกิดสนใจห้องที่เราขาย แต่พอมาดูสภาพทำเลและการเดินทาง และสังเกตุเรื่องการสัญจรเข้าออก อาจจะทำให้เปลี่ยนใจไม่ซื้อห้องเราก็ได้นะครับ และยิ่งหากเราร้อนเงิน และจำเป็นต้องขายคอนโด ราคาที่เราจะขายอาจจะต้องถูกกดราคาลงมากๆ เพื่อให้ขายได้ไวๆ และที่เห็น ก็มีหลายโครงการที่เป็นแบบนั้น อย่ามัวแต่เน้นว่าอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า จนลืมคิดเรื่องนี้ไปนะครับ

     จากนั้น ก็อย่าลืมตรวจสอบสภาพแวดล้อมของบริเวณใกล้เคียง เช่น ในใกล้ๆ คอนโด มีร้านสะดวกซื้อ , ตลาด, ศูนย์การค้า หรือร้านอาหารหรือไม่ เพราะหากมีส่วนประกอบข้างต้น เมื่อเวลาเราขาดเหลืออะไร ก็จะได้ซื้อได้สะดวก ถึงแม้ว่าบางที่หลังคอนโดเสร็จ ก็จะมีร้านขายของต่างๆ มาเปิดใกล้ๆ คอนโด (รวมทั้งพี่วินมอไซด์ด้วย ก็จะแวะมาจับจองทำเลตั้งวิน) แต่นั่น ก็ไม่ใช่เรื่องแน่นอน เพราะอาจจะไม่มีใครสนใจ มาลงทุนเปิดร้านขายของ หรือร้านอาหาร อำนวยความสะดวกแก่เรา ดังนั้นก็เลือกทำเลที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมเลย น่าจะเป็นการดีกว่า
(หรือเราอาจจะเห็นโอกาส มาเปิดร้านขายเองเลยก็ได้นะครับ เพราะอาจจะได้ลูกค้ากลุ่มใหญ่จากคอนโด และถือเป็นการหารายได้มาชำระค่าซื้อคอนโด ก็ดีนะครับ ^^)


  •    โครงการพัฒนาของรัฐ


โครงการพัฒนาของรัฐ ก็มีส่วนสำคัญในการศึกษาครับ ยกตัวอย่างเช่น ในกรุงเทพมหานครที่มีแผนพัฒนาของรัฐฝนการพัฒนารถไฟฟ้าให้ครอบคลุมถนนเส้นหลักๆ แต่ทั้งนี้ก็ควรเช็คข่าวบ่อยๆ ครับ เพราะบางทีโครงการอาจจะถูกยกเลิก หรือเปลี่ยนแนว แบบที่เกิดขึ้นกับ รถไฟฟ้าสายสีส้ม เนื่องจากมีการปรับแนวเส้นทางจากศูนย์วัฒนธรรมฯ-เหม่งจ๋าย-วัดเทพลีลา-ถนนรามคำแหง ซึ่งมีชุมชนหนาแน่น เปลี่ยนไปวิ่งตามแนวถนนพระราม 9 และเข้าถนนรามคำแหงแทน  อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตามควรตรวจสอบและติดตามข่าวอยู่บ่อยๆ ครับ


  •   แนวโน้มความเจริญของพื้นที่

รถไฟฟ้า ก็ถือว่ามีส่วนสำคัญในการทำให้พื้นที่ที่อยู่ติดแนวรถไฟฟ้าจะมีความเจริญขึ้นเรื่อยๆ หากไม่นับแนวสุขุมวิท ที่ คนส่วนใหญ่มักจะบอกว่า สุขุมวิทไม่เคยตาย ก็คงจะจริงครับ เพราะมีการพัฒนาของโครงการก่อสร้างของรัฐ และของเอกชนอย่างต่อเนื่อง ทำเลที่ ตอนนี้น่าจับตา และมีโครงการก่อสร้าง คอนโดมิเนียมอยู่เรื่อยๆ ทั้งแบรนด์เล็กแบรนด์ใหญ่มีหมดครับ นั่นคือถนนรัชดาภิเษก ณ ปัจจุบัน (2556) เฉพาะคอนโด ที่เกาะแนวรถไฟฟ้า MRT ก็มีขึ้นไปกว่าสิบโครงการ ราคาจากเมื่อก่อน 6-7 หมื่น บาท ตอนนี้ก็ไปเริ่มกันที่ระดับแสนกว่าบาทขึ้นไปต่อตารางเมตร แต่ถ้าหลบเข้าถนนซอย ที่ไม่ไกลนัก ราคาก็อยู่ที่ประมาณ 5-6 หมื่นบาท  ก็ยังหาได้ทั่วไป ส่วนทำเลที่เป็นรอง และมีโครงการพัฒนาของรัฐที่น่าจับตาก็มีหลายที่ครับ เช่นแถวบางซื่อ , จรัญสนิทวงศ์, ถนนเพชรเกษม , ถนนลาดพร้าว ฯ พูดง่ายๆ ก็ตามแนวรถไฟฟ้านั่นแหล่ะครับ รวมถึงแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง ที่ก่อสร้างกันมาหลายปี  แต่เนื่องจากทำเลของสายสีม่วงอาจจะออกไปอยู่นอกเมืองสักหน่อย หากจะเลือกที่อยู่อาศัย ก็ควรจะเป็นในรูปแบบของ ทาวน์เฮ้าส์ หรือบ้านเดี่ยวน่าจะเหมาะกว่า


       อีกสิ่งนึงที่มีผลต่อการพัฒนาความเจริญ นั่นก็คือ ศูนย์การค้าต่างๆ หรือ Community Mall ต้องยอมรับครับว่าช่วงหลังๆ มานี้ Community Mall หลายแห่งสามารถปลุกกระแสได้ดี มีผู้คนเข้าไปถ่ายรูปและท่องเที่ยวพักผ่อนกันเยอะ ถ้าในบริเวณใกล้ๆกับโครงการที่เราซื้อมีสิ่งเหล่านี้อยู่ ก็คงทำให้ชีวิตวันพักผ่อนของเราที่คอนโด มีความสุขยิ่งขึ้น ไม่ต้องออกไปดิ้นรนกับรถติดมากมาย เพราะเราสามารถหาสิ่งเหล่านี้ได้ใกล้ๆ กับคอนโดที่เราซื้อ รวมทั้งปัจจุบัน ผู้พัฒนาคอนโดหลายๆเจ้า ก็มีแผนจะพัฒนาแหล่งการค้าอย่างเช่น Community Mall ในพื้นที่ติดกับโครงการคอนโดด้วยตัวเองเลยก็มีหลายที่ครับ ก่อนซื้อก็ลองสอบถามดูกับผู้ขายครับ

    แต่ทั้งนี้ประเภทบอกว่าจะมีโครงการ Community Mall  แต่จนวันที่คอนโดแล้วเสร็จก็ยังไม่มี ตรงนี้ก็พึงระวังไว้ครับ เพราะหากทำเลดีๆ และยอดขายของคอนโดดีมาก บางครั้ง ผู้ประกอบการอาจจะเปลี่ยนจาก Community Mall มาเป็นพัฒนาคอนโดใหม่อีกโครงการก็มีเกิดขึ้นมาแล้วนะครับ


เบื้องต้นนี้จะเป็นส่วนของ ปัจจัยภายนอก เป็นหลัก ในครั้งต่อไปเราจะไปพูดถึง ปัจจัยภายใน กันนะครับ
แสดงความคิดเห็น

ปัญหาที่จอดรถยนต์ของคอนโด ไม่พอ

- ปัญหาที่จอดรถยนต์ของคอนโด ไม่พอ -

 
     เชื่อว่าปัญหาหลักๆ ของ คอนโด ทั่วๆไป ปัญหาในการอยู่อาศัย ก็มีด้วยกันหลายๆ ปัญหา (ยิ่งคนอยู่เยอะ ปัญหาก็เยอะขึ้น -_-!) หนึ่งในนั้นเชื่อว่าปัญหาของ ที่จอดรถไม่เพียงพอ น่าจะเกิดขึ้นกับหลาย ๆ โครงการ

     ซึ่งโดยปกติแล้ว คอนโด ส่วนใหญ่ไม่ได้ออกแบบที่จอดรถมาให้ครอบคลุมครบทุกห้อง (แถมบางห้องยังแอบใช้รถ 2 คัน รู้นะครับ ^_^)


      อ่ะ ๆ ไม่ต้องงครับ ว่า แล้วทำไมเขาไม่ออกแบบมาให้ครบละ



   การออกแบบที่จอดรถให้ครบทุกห้องสามารถทำได้ครับ (ไม่ได้ห้าม) แต่ส่วนใหญ่ ผู้พัฒนาโครงการเลือกที่จะไม่ทำจอดรถให้ครบทุกห้อง เพราะอะไรนั่นหรอครับ 

    ก็เพราะถ้าหากต้องมีที่จอดรถครบทั้งหมด  สิ่งที่ตามมากนั่นก็คือต้นทุนในการขายจะเพิ่มมากขึ้น เมื่อต้นทุนมากขึ้น ก็ส่งผลให้ราคาขายต้องสูงขึ้น เพราะต้นทุนในการทำที่จอดรถก็จะถูกรวมไปในราคาขาย ทำให้ราคาขายเพิ่มขึ้น ขายยากขึ้น แถมยังส่งผลไปถึงพื้นที่ก่อสร้างถูกใช้ไปมากขึ้น เลยเหลือพื้นที่การทำห้องขายถูกทอนให้น้อยลง (พื้นที่ก่อสร้างมีเนื้อที่ก่อสร้างจำกัด ถูกกำหนดด้วย FAR ของแต่ละแปลงที่ดิน) เมื่อจำนวนยูนิตน้อยลง กำไรในการขายก็น้อยลง  ผู้พัฒนาโครงการส่วนใหญ่เลยเลือกที่จะทำพื้นที่ที่จอดรถเฉพาะตามระเบียบควบคุม เช่น ในพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร ก็จะมีข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมอาคาร พ.ศ.2544 กำหนดไว้ว่า

  • อาคารอยู่อาศัยรวมหรืออาคารชุด ที่มีพื้นที่ห้องชุด ที่มีพื้นที่ห้องชุดแต่ละห้อง 60 ตารางเมตรขึ้นไป ให้มีสัดส่วนการคิดที่จอดรถ 1 คันต่อ1ห้อง 

แต่เนื่องด้วย พื้นที่ห้องชุด ไม่ได้ถูกจำกัดขนาด ว่าต้องมีพื้นที่ขายขั้นต่ำ 60 ตารางเมตร (พื้นที่ยิ่งเยอะ ราคายิ่งแพง ก็จะขายยากขึ้น) โดยปัจจุบัน พื้นที่ขายห้องชุด มีขนาดเล็กลง (เพื่อให้ราคาต่อยูนิตไม่สูงมาก) โดยห้องขายไซส์เล็ก ที่เห็นปัจจุบันนี้มีขนาด 21 ตารางเมตร ดังนั้นก็จะไม่เข้าเกณฑ์ข้อแรก แต่อาคารชุดจะเกี่ยวเนื่องอีกหลักเกณฑ์คือ



  • อาคารขนาดใหญ่ โดยหลักเกณฑ์ของอาคารขนาดใหญ่คือ ให้มีที่จอดรถ 1 คันต่อพื้นที่อาคาร 120  ตารางเมตร (เศษของ 120 ตารางเมตร ก็ให้คิดเป็น 1 คัน)


การคิดจำนวนที่จอดรถในปัจจุบันส่วนใหญ่ก็จะเข้าเกณฑ์ในส่วนที่ 2 หากโครงการทำพื้นที่ที่จอดรถ มาเท่าที่มีข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร กำหนด ก็จะยิ่งมีปัญหา เพราะด้วย ปัจจุบันพื้นที่ขายต่อห้องชุดน้อยลงกว่าแต่ก่อน


สมมุติว่าพื้นที่เท่ากับ 21 ตารางเมตรต่อ 1 ห้องทั้งหมด  จะเข้าเกณฑ์การคิด 1 คันต่อพื้นที่ใช้สอย 120 ตารางเมตร นั่นคือ ที่จอดรถ 1 คันต่อ 5.7 ห้อง ถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ก็จะน้อยมากๆ



ถึงแม้ว่าคอนโด จะตั้งอยู่ในพื้นที่ๆ มีความเจริญ  แต่ผู้พักอาศัยส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะมีรถยนต์ใช้ เพื่อสะดวกในการเดินทาง เมื่อมีการใช้รถยนต์เยอะขึ้น ก็ส่งผลให้มีความต้องการพื้นที่จอดรถยนต์เยอะขึ้น เลยเป็นที่มาของปัญหาที่จอดรถยนต์ไม่เพียงพอ

ดังนั้น ก่อนจะซื้อคอนโด สิ่งหนึ่งที่สำคัญ ไม่แพ้ ข้ออื่นๆ ก็อย่าลืมตรวจสอบกับผู้ขายด้วยนะครับ ว่ามีที่จอดรถอยู่กี่คัน ถ้าทุกอย่างเหมือนกัน ก็อย่าลืมเลือกโครงการที่มีที่จอดรถเยอะๆ นะครับ


อ้อ! อีกอย่าง คอนโดบางแห่ง มีนโยบายเก็บค่าจอดเป็นรายเดือน (เก็บแยกจากค่าส่วนกลางปกติ) ดังนั้นก่อนทำการซื้อ อย่าลืม สอบถามและเปรียบเทียบเรื่องนี้ด้วยนะครับ และอย่าลืมเตรียมตัวรับมือกับการที่จอดรถในคอนโดไม่พอด้วยนะครับ
แสดงความคิดเห็น

ข้อควรคิดเมื่อ เลือกซื้อคอนโด - ตอนที่ 1

- ข้อควรคิดเมื่อ เลือกซื้อคอนโด -



ในบทความที่เขียนนี้ จะเน้นที่การซื้อ คอนโด เพื่ออยู่อาศัย แล้วได้การออมเงินเพื่อการลงทุนระยะยาวเป็นของแถม มากกว่าการซื้อเพื่อลงทุนอย่างเดียวนะครับ 


โดยในการจะซื้้อคอนโด เริ่มแรกก็ได้เกริ่นไปในบทความที่แล้ว ว่าเราควรสำรวจความพร้อมของตัวเองก่อน เพราะบางครั้ง ถ้าเราเลือกซื้อคอนโดที่มีราคาสูงเกินตัวเรา เมื่อระยะผ่านไปสักระยะนึง หากหมดกำลังส่ง และขาดส่งธนาคาร หลาย ๆ เดือน อาจถูกยึดห้องขายทอดตลาด จากที่คิดว่าจะได้กำไร จะกลายเป็นขาดทุน และเสียประวัติการกู้ แทนนะครับ


เมื่อได้วงเงินของราคาคอนโดที่เราจะซื้อ ขั้นต่อไป เราก็มาเลือกทำเลกันครับ เพราะถ้าพูดถึงคอนโด นอกจากสิ่งอำนวยความสะดวกและชื่อเสียงของผู้พัฒนาแล้ว ปัจจัยสำคัญของ การซื้อคอนโด ก็คือ ทำเล




  •   พิจารณาเรื่องทำเล
         การเลือกทำเลที่ตั้งคอนโด ถือว่ามีส่วนสำคัญทั้งเวลาที่เราพักอยู่อาศัย และเวลาที่เราจะขายเลยละครับ เพราะหากเราเลือกทำเลที่ดี เหมาะสมกับราคา (ทำเลดีมากๆ ราคาขายก็จะยิ่งสูง) และใกล้แหล่งชุมชน มีการคมนาคมสะดวก ตอนเราพักอยู่อาศัย ก็จะได้เดินทางสะดวก มีค่าใช้จ่ายในการเดินทางไม่มาก หากเมื่อจะขายหรือปล่อยเช่า ก็จะได้ราคาดี คุ้มค่าเงินที่เสียไป 


      ถ้าราคาไม่ใช่ข้อจำกัด ตอนนี้คนส่วนใหญ่ ก็ต้องเลือก คอนโดติดแนวรถไฟฟ้า อาจจะเนื่องด้วยต้องการความสะดวกสบาย หรือการจราจรในเมืองหลวงหรือตามเมืองใหญ่ๆ สภาพการจราจรหนาแน่นมากขึ้น แต่บางครั้ง การยอมถอยออกจากแนวรถไฟฟ้าออกมาเล็กน้อย เราก็อาจจะได้คอนโดที่มีราคาประหยัดกว่ากันครึ่งนึงเลยนะครับ แต่หลักๆ เราก็ควรซื้อคอนโดที่มีทางเข้า-ออกสะดวกปลอดภัย ยิ่งติดถนนเมนหลักๆ ได้ยิ่งดี

แต่ ปัจจุบัน เนื่องจากกรุงเทพมหานคร ประกาศใช้ผังเมืองใหม่ (พ.ค. 2556) การสร้างคอนโด อาจจะมีข้อจำกัดเล็กน้อย ที่ต่อไป เราอาจจะไม่ค่อยได้เห็นโครงการคอนโด ตามซอยเล็กๆ ถ้าจะเห็นโครงการคอนโดใหม่ๆ ในกรุงเทพ ฯ ถนนที่ตั้งคอนโด ทางเข้าก็ต้องเป็นถนนกว้างประมาณ 10 เมตรขึ้นไป ซึ่งเราคงไม่ได้พบเห็นคอนโดในซอยเล็กๆ แบบเมื่อก่อน (การติดถนนใหญ่ ก็ส่งผลให้ราคาขายคอนโดสูงขึ้น เพราะต้นทุนที่ดินแพงขึ้น) 

       (ถนนกว้างไม่เกิน 10 เมตร จะสร้างอาคารได้ไม่เกิน 10,000.- ตารางเมตร แต่ก็มีข้อยกเว้น ว่าถ้าที่ตั้งโครงการอยู่ในระยะ 500ม.จากสถานีรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ถึงกว้างไม่ถึง 10 เมตรก็สร้างได้ แต่ถนนก็ต้องมีความกว้างไม่ต่ำกว่า 6 เมตร แต่บางพื้นที่ก็ไม่อนุญาตให้สร้างเลย * ตรวจสอบรายละเอียดได้ที่ >>>ผังเมืองกรุงเทพมหานคร )  





  • พิจารณาส่วนประกอบของคอนโด
      สิ่งที่ควรนำมาประกอบอีกอย่างก็คือทรัพย์ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกที่เราจะได้รับ จากโครงการคอนโดนั้น มีมากน้อยเพียงไร เพราะของเหล่านี้มีผลต่อทั้งราคาที่เราซื้อ และส่งผลถึงราคาขายต่อ (ราคาปล่อยเช่า) ส่วนกลางทั่วๆไป ก็คือ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส ห้องรับแขก ฯ เหล่านี้ถือว่ามีส่วนสำคัญที่จะส่งผลให้การใช้ชีวิตในคอนโดของเรา สะดวกสบายขึ้น ไม่ยึดติดแต่ในห้องสี่เหลี่ยม และอีกปัจจัยที่สำคัญมาก สำหรับตอนนี้  คือ ที่จอดรถยนต์


    เนื่องจาก ปัจจุบัน จำนวนที่จอดรถยนต์ที่โครงการมีไว้ให้ผู้ซื้อ จะไม่ครอบคลุม 100 %  ปกติทั่วไปก็อยู่ที่ ประมาณ 30-60% แต่ก็มีบางโครงการที่จัดที่จอดรถยนต์ไว้ให้ครบทุกห้อง แต่ก็มีไม่กี่โครงการ (และราคาขายจะสูงกว่าปกติ) เพราะการจัดให้มีที่จอดรถยนต์ครบทุกห้อง หรือมีปริมาณมาก ๆ ก็จะส่งผลให้ ราคาขายของห้องชุดสูงขึ้น อาจส่งผลให้การทำคอนโดขายได้ยากขึ้น (เพราะต้นทุนในการทำที่จอดรถของผู้ขายจะถูกนำมารวมอยู่ในราคาขายห้องชุด) ถ้าเปรียบเทียบหลายๆ โครงการ ก็อย่าลืมเปรียบเทียบจำนวนที่จอดรถยนต์ด้วยนะครับ ถึงแม่ว่าโครงการจะบอกว่า ทุกห้องมีสิทธิ์การใช้ที่จอดรถ แต่นั่นก็เป็นเพียงสิทธิ์ เพราะมิได้หมายความว่าเมื่อถึงเมื่อเวลาจริง ๆ จะมีพื้นที่ให้จอดรถยนต์ทุกห้อง (ยกเว้นว่ามีที่จอดรถยนต์ครบทุกห้อง)

- เขียนมาถึงตรงนี้ เพื่อความเข้าใจเรื่องการคิดจำนวนที่จอดรถยนต์ที่ดียิ่งขึ้น เดีียวในครั้งต่อไป เรามาทำความเข้าใจกับที่จอดรถยนต์กันดีกว่านะครับ
แสดงความคิดเห็น

การเลือกซื้อคอนโด (หรือการลงทุนระยะยาวด้วยคอนโด)

การเลือกซื้อคอนโด (หรือการลงทุนระยะยาวด้วยคอนโด)

            การเลือกซื้อ คอนโด หรือ อาคารชุด ก็ไม่ยากครับ ค่อยๆ ดู ค่อยศึกษา เดี๊ยวก็จะเข้าใจ การศึกษาและการดำเนินการก็ไม่ได้ยากเกินเราเข้าใจครับ ขอแค่มีเวลาศึกษาเรื่องนี้จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ หนังสือ หรือตามเว็บไซด์ก็มีข้อมูลเหล่านี้ให้เราได้ศึกษาครับ

            การเตรียมตัว ซื้อคอนโด

            ก่อนที่จะแนะนำว่าเราควรซื้อคอนโดแบบไหน ของใคร ก่อนอื่นเลย อยากให้คุณสำรวจ รายได้สุทธิ ในกระเป๋าสตางค์ของเราครับ ว่าเดือน ๆ นึง หลังจากที่จ่าย ค่าน้ำค่าไฟ ค่าบัตรเครดิต ฯ ว่าหลังจากที่หักทุกอย่างออกไปเราเหลือเงินเข้ากระเป๋า ของเราเท่าไหร่

              การคิดว่า " ควรซื้อคอนโดราคาเท่าไหร่ " ถึงจะเหมาะสมกับรายได้ของเรา ที่หากเมื่อทำสัญญากู้เงินกับสถาบันการเงินไปแล้ว จะมีค่าใช้จ่ายรายเดือน ที่ไม่มากจนรู้สึกว่า หนักเกินไป หลักการคิด (อาจไม่ทั่วไป) ผมแนะนำอย่างนี้ครับ

  •  เงินผ่อน คอนโด ต่อเดือนหลังหักค่าใช้จ่าย ควรอยู่ที่ประมาณ 40 % ของรายรับสุทธิ เช่น รายรับสุทธิเดือนละ 20,000- บาท หากเราต้องผ่อนค่า คอนโด จำนวนเงินก็น่าจะอยู่ประมาณ 40 % x 20,000.- = 8,000.- บาท คอนโด ที่เราสามารถซื้อได้ ก็อยู่ประมาณ 1.1-1.2 ล้านบาท (อาจมีบวก-ลบ ขึ้นอยู่กับสถาบันการเงิน)


  • ประเมินวงเงินกู้ สถาบันการเงิน มักจะให้วงเงินกู้สินเชื่อรายย่อย ประมาณ 50-60 เท่าของเงินเดือน(หรือรายรับสุทธิ) เช่น รายรับสุทธิเดือนละ 20,000- บาท วงเงินกู้ประมาณ 50 - 60 เท่าของเงินเดือน จะประมาณได้ 1.1-1.2 ล้านบาท (อาจมีบวก-ลบ ขึ้นอยู่กับสถาบันการเงิน)


            จากข้างต้น เราก็พอจะประมาณได้ว่า ราคาคอนโดที่เหมาะสมสำหรับคนที่มีรายได้ประมาณ 20,000 .- บาทต่อเดือน ราคาคอนโดที่เหมาะสมก็น่าจะประมาณ 1-1.1 ล้านบาท (คอนโด ราคานี้ น่าจะหาได้ไม่ยากเท่าไหร่นะครับ) 


           แนวคิดที่ผมนำเสนอนี้ เป็นการสำรวจตัวเองนะครับ ว่าเรามีความพร้อมในการที่จะกู้เพื่อซื้อ คอนโด สักห้องได้ไหม และถ้าจะซื้อ  เราควรซื้อ คอนโด ที่มีราคาขายอยู่ประมาณเท่าไหร่ ที่จะทำให้เรามีค่าใช้จ่ายต่อเดือน ไม่รู้สึกหนักเกินไป และระหว่างนี้ก่อนที่จะหา คอนโด ที่สนใจจะซื้อ ก่อนอื่น ก็ต้องจ่ายหนี้สินต่างๆ ให้ตรงตามเวลาด้วยนะครับ (เพื่อให้มีประวัติลูกหนี้ที่ดี) 

          การซื้อ คอนโด อยากให้สำรวจตัวเองอีกอย่างครับว่าเรามีแผนจะย้ายงาน-เปลี่ยนสถานที่ทำงานหรือไม่ และถ้ามีก็อยากให้คิดเผื่อไว้ด้วยว่าหากเราย้ายงาน ที่ทำงานใหม่กับ คอนโด ที่เราจะซื้อ การเดินทางลำบากหรือไม่ ซึ่งหากยังไม่มั่นใจ ก็ควรหยอดกระปุกเก็บเงินไปก่อนนะครับ อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจ เพราะถ้าการซื้อ คอนโด ของเราครั้งนี้ ทำให้การเดินทางลำบาก ก็คงเป็นเรื่องที่ไม่สนุกแน่ๆ ครับ การซื้อ คอนโด เพื่ออยู่อาศัยให้ได้ผลตอบแทนดีๆ อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย เดี๊ยวจะแนะนำครับ ว่า เราควรถือ คอนโด นี้สักกี่ปี และขายช่วงไหนให้ ได้กำไรดีที่สุด   


แสดงความคิดเห็น

เสียค่าเช่าห้องอยู่ทำไม ซื้อ(คอนโด)ดีกว่า(หรือ)เปล่า - ตอนที่ 2


         จากครั้งก่อนที่กล่าวถึง คอนโด ที่มีเรทราคา ต่อตารางเมตร ค่อนข้างสูง  ทีนี้เราก็จะมาดู คอนโดที่มีราคาไม่แพง เรทที่ถือว่าอยู่ในเรทที่ถือว่าถูก มีค่าใช้จ่ายหากต้องกู้ธนาคาร ไม่สูงมาก
       
         ณ. เวลาที่มีข้อมูลนี้ (2556) ที่เป็น คอนโด มีแบรนด์ที่มีชื่อก็น่าจะเป็นของ กลุ่ม เสนาดีเวลลอปเม้นท์ มีชื่อ ซีรีย์ว่า " เดอะคิท คลองหลวง" ที่มีราคาเสนอขายอยู่ที่ 790,000 .- บาท  มีเนื้อที่ประมาณ 28.8 ตารางเมตร หรือ ประมาณ 27,500 บาท / ตารางเมตร 
       
       ซึ่ง จริงๆ แล้วก็ยังมีอีกหลาย บริษัทที่ทำคอนโด ออกมาขายตลาดล่าง ที่มีเรท ราคาคอนโด ประมาณแสนปลายๆ - 1 ล้านบาทต้นๆ

  • สมาร์ท คอนโด วัชรพล - Smart Watcharapol ของกลุ่ม บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน)
  • ไอ คอนโด งามวงศ์วาน - ICondo Ngamwongwan ของกลุ่มพร็อพเพอร์ตี้เพอร์เฟค
  • ศุภาลัย ปาร์ค แยกเกษตร - Supalai Park Kaset ของกลุ่ม บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)
  • พลัม คอนโด บางแค - Plum Condo Bangkhae ของกลุ่ม บริษัท  พฤกษาเรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน)
  • ดีคอนโด รัตนาธิเบศร์ - D-Condo Rattanathibet ของกลุ่ม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)
  •  เอ สเปซ มี บางนา - A space ME Bangna ของกลุ่ม บริษัท อารียา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)
  • ลุมพินี คอนโดทาวน์ บางแค – Lumpini Bangkhae CondoTown ของ กลุ่ม บริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้  จำกัด (มหาชน)
ตรงนี้เป็นตัวอย่างเบื้องต้น ในกลุ่ม คอนโดที่มีราคาไม่แพง ซึ่ง ก็ยังมีอีกหลายๆ คอนโด ที่เป็นบริษัทที่เป็นแบรนด์รองลงมา เช่น

  • เดอะกรีน คอนโดมิเนียม เฟส 2 - สุขุมวิท 101 - ของกลุ่มบริษัทเดอะ แกรนด์ พัฒนา ดีเลลอปเม้นท์  มีเรทราคาอยู่ประมาณ 8-9 แสนบาท


  • รีเจ้นท์โฮม 1 พหลโยธิน 67 - ของกลุ่ม  บริษัท รีเจ้นท์ กรีน เพาเวอร์ จำกัด ที่มีเรทราคาประมาณ 699,000 บาท ต่อพื้นที่ 31 ตารางเมตร หรือประมาณ 22,500บาท / ตารางเมตร
ซึ่ง คอนโด ที่มีราคาไม่สูงนี้ จะมีกระจายอยู่ทั่วไป อีกหลายบริษัท แต่อาจจะอยู่ในทำเลที่รองลงมา เช่น ติดถนนซอย ตรงนี้ต้องรองสำรวจพื้นที่ ที่เราสนใจว่ามีคอนโด ที่มีราคาไม่สูงอยู่หรือไม่

       โดย คอนโด ที่มีระดับราคาประมณ 1 ล้าน บาท หากต้องกู้ซื้อกับสถาบันการเงินประมาณ 30 ปี จะมีค่าใช้จ่ายต่อเดือน ประมาณ 6,500 - 7,000 .- บาท (อาจจะมี + - ตามสภาวะดอกเบี้ยเงินกู้) ยิ่งหากราคาไม่ถึง 1 ล้าน ค่าใช้จ่ายต่อเดือน ก็ยิ่งถูกลงมา

        ซึ่งหากพิจารณาเปรียบเทียบกับค่าเช่า ที่เราต้องเสีย ก็อาจจะไม่แตกต่างกันมาก ทั้งนี้ อพาร์ทเมนต์หรือห้องเช่า ที่มีเรทค่าเช่าต่อเดือน 5-6 พันบาท อาจจะได้เปรียบเรื่องทำเล เพราะอาจจะตั้งอยู่ในทำเลที่ดีกว่า เดินทางสะดวกกว่า ตรงนี้ก็ต้องลองพิจารณาดูว่าหากเราต้องย้ายไปอยู่ คอนโด ที่เราสนใจจะซื้อ จะมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพิ่มมาอีกเท่าไหร่ และอีกส่วนนึงที่ต้องพิจาณาร่วมด้วย นั่นก็คือ ค่าส่วนกลาง ที่เราต้องเสียเมื่อเราซื้อ คอนโด ยิ่ง คอนโด ที่เราซื้อมีจำนวนยูนิตต่อโครงการน้อย ค่าส่วนกลางต่อเดือน ก็จะยิ่งมาก 

       อาจจะดูยุ่งยากเล็กน้อย แต่หากเราสามารถหา คอนโด ที่มีทำเลที่ดี มีอนาคต ราคาไม่สูงมาก ก็จะถือว่าเป็นการลงทุนระยะยาว ที่ดีกว่าการเช่าอยู่ที่เมื่อย้ายออก เราก็ไม่ได้อะไร (อาจจะต้องเสียเพิ่มตอนย้าย) แต่การซื้อ คอนโด หรืออสังหาริมทรัพย์ ถือเป็น การลงทุน ที่เมื่อเวลาผ่านไป โดยปกติแล้ว จะยิ่งเพิ่มมูลค่าขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป ว่าสามารถ เอาชนะเงินเฟ้อได้

     แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องระวังของการซื้อ คอนโด ที่มีราคาไม่สูงมาก คือการดูแลสภาพอาคาร สภาพแวดล้อม การอยู่อาศัย ที่ต้องรักษาและดูแลเป็นพิเศษ ซึ่งหากเจ้าของร่วมที่พักอาศัย ช่วยกันดูแล รักษาระเบียบโดยรวมแล้ว ยิ่งนานวัน ก็จะยิ่งช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับตัว คอนโด แต่ในทางตรงกันข้าม หากดูแลไม่ดี ไม่มีการซ่อมบำรุงอาคาร ยิ่งนานวัน แทนที่มูลค่าจะเพิ่ม อาจจะทำให้มูลค่า คอนโด คงที่ หรือต่ำลงกว่าตอนที่ซื้อก็เป็นไปได้ครับ

แสดงความคิดเห็น
Copyright © 2014 Life Sabuy , คอนโดมิเนียม , คอนโด , ราคาประเมิน, ซื้อคอนโด, ราคาคอนโด, ขายคอนโด
www.lifesabuy.com